Sunday, September 18, 2016

สรรพคุณของมะขาม

มะขาม

มะขาม หรือ Tamarin
                   มะขาม ชื่อวิทยาศาสตร์ Tamarindus indica L. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยราชพฤกษ์ (CAESALPINIOIDEAE หรือ AESALPINIACEAE
                   มะขามจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นที่มีถิ่นกำเนิดในทวีฟแอฟริกา และมีการนำเข้ามาปลูกในแถบเอเชีย นอกจากนี้มะขามยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ และตามตำราพรหมชาติยังถือว่ามะขามเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ที่ช่วยป้องกันสิ่งเลวร้าย ผีร้ายต่าง ๆ ไม่ให้มากล้ำกลาย อีกทั้งยังเป็นต้นไม้ที่มีชื่อมลคล ถือกันเป็นเคล็ดทำให้มีคนเกรงขาม 
                   สำหรับประโยชน์ของมะขามและสรรพคุณมะขามนั้นมีมากมาย และจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและยังมีสรรพคุณใช้เป็นยารักษาโรคอีกด้วย โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาจะเป็นเนื้อฝักแก่ (มะขามเปียก) เปลือกของลำต้น (ทั้งสดและแห้ง) และเนื้อในเมล็ด สามารถช่วยรักษาได้หลายโรค เช่น เป็นยาขับเสมหะ แก้อาการท้องเดิน บรรเทาอาการท้องผูก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ เป็นต้น 
                    มะขามยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างวิตามินซี วิตามินบี2 วิตามินเอ ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เป็นต้น โดยมะขามที่แก่จัดนั้นเราจะเรียกว่า “มะขามเปียก” โดยมะขามหวาน 100 กรัม จะมีแคลอรี่เท่ากับ 314 แคลอรี่ 

ประโยชน์ของมะขาม

มะขาม ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย ด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ 
ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสด้วยวิตามินซีจากมะขาม 
ช่วยในการชะลอวัย และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย 
แคลเซียมจากมะขามจะช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง 
มะขามมีธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือด 
ใช้ในการทำทรีทเม้นท์ ด้วยการจำมาขัดตามซอกขาหนีบ รักแร้ ข้อพับ ซึ่งจะช่วยลดรอยคล้ำลงได้ 
นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมามะขามมาถูตัวเบา ๆ ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นตลอดทั้งวัน และช่วยกำจัดแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย 
มะขามเปียกและดินสอพองผสมจนเข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าดูกระชับสดใสและสะอาดยิ่งขึ้น 
มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นและนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวสดใสนุ่มนวลยิ่งขึ้น 
นำมาใช้เป็นส่วนผสมหรือใช้ทำเป็นกรดผลไม้ (AHA) 
สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟ หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ให้นำเนื้อมะขามมาขัดถูฟันเป็นประจำทุกครั้งที่แปรงฟัน จะช่วยขจัดคราบสกปรกบริเวณฟันลงได้ 
สามารถนำมาใช้ทำยานวดผม ซึ่งช่วยรักษารากผม ฆ่าเชื้อราบนหนังศีรษะ และช่วยฆ่าเหาได้อีกด้วย ด้วยการนำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำแล้วใช้มือคั้นเนื้อมะขามเพื่อให้ละลายออกผสมกับน้ำ น้ำที่ได้นั้นจะมีลักษณะเหลว (ไม่ควรเหลวมาก) แล้วนำมานวดศีรษะหลังจากที่สระผมเสร็จแล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก 
ใช้ทำเป็นน้ำยาอาบน้ำ ด้วยการนำใบมะขามมาจำนวนหนึ่ง ใส่ใบมะขามลงในน้ำเดือดแล้วปิดฝา แล้วเคี่ยวประมาณ 30 นาที จากนั้นนำลงจากเตาปล่อยให้เย็นแล้วนำมาอาบ จะช่วยให้ผิวพรรณดีขึ้น รักษาผดผื่นคันตามร่างกายและเชื่อบนผิวหนังได้ 
การแปรรูปมะขามสามารถนำมาแปรรูปได้หลายชนิด เช่น มะขามแก้ว มะขามกวน มะขามอบไร้เมล็ด มะขามบ๊วย มะขามแช่อิ่ม มะขามคลุก มะขามจี๊ดจ๊าด เป็นต้น 
ช่วยป้องกันการเกิดและช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน 
มะขามมีวิตามินเอที่มีส่วนช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา 
ช่วยลดความร้อนในร่างกายได้เป็นอย่างดี 
แก้อาการท้องผูก ด้วยการใช้เนื้อมะขามเปียกประมาณ 15 ฝัก นำมาจิ้มกับเกลือแล้วรับประทาน หรือใส่เกลือเติมน้ำแล้วคั้นเป็นน้ำดื่ม 
แก้อาการท้องเดิน ด้วยการใช้เปลือกต้นประมาณ 2 กำมือ นำมาต้มกับน้ำปูนใสหรือน้ำ แล้วนำมารับประทาน 
ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เมล็ดมะขามมาคั่วกระเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำเกลือจนนิ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด 
ช่วยแก้อาการขับเสมหะ ละลายเสมหะ ด้วยการนำมะขามเปียกมาจิ้มเกลือ แล้วรับประทาน 
มะขามอุดมไปด้วยกรดอินทรีย์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยชำระล้างความสกปรกในรูขุมขนและขจัดคราบมันบนผิวหนังได้เป็นอย่างดี 
รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง 
รากมะขามช่วยในการสมานแผล 
รากมะขามช่วยในการรักษาโรคเริม 
รากมะขามช่วยในการรักษาโรคงูสวั 
เปลือกลำต้นมะขาม ช่วยแก้ไขตัวร้อน 
แก่นของต้นมะขาม ช่วยรักษาฝีในมดลูก 
แก่นของต้นมะขาม ช่วยในการขับโลหิต 
แก่นมะขามมีส่วนช่วยเป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่ 
ใบสดมะขาม ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ 
ใบสดมะขาม ช่วยรักษาหวัด อาการไอ 
ใบสดมะขามมีส่วนช่วยในการรักษาโรคบิด 
ใบสดมะขาม มีคุณสมบัติใช้เป็นยาหยอดตารักษาเยื่อตาอักเสบ แก้อาการตามัว 
ใบสดมะขาม มีคุณสมบัติในการช่วยฟอกโลหิต 
ใบสดนำมาต้มผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆใช้อาบหลังคลอด 
เนื้อหุ้มเมล็ดของมะขาม ใช้เป็นยาสวยล้างท้อง 
ฝักดิบของมะขาม ใช้ในการฟอกโลหิจ 
ฝักดิบของมะขามใช้ในการลดความอ้วน เป็นยาระบายลดอุณหภูมิในร่างกาย 
เปลือกมะขามช่วยรักษาแผลสด แผลไฟลวก แผลเบาหวาน ถอนพิษ 
เปลือกเมล็ดมะขาม ช่วยสมานแผลที่ช่องปาก คอ ลิ้น และตามร่างกาย 
ดอกสดของมะขาม ใช้เป็นยาลดความดันโลหิตสูง 

คุณค่าทางโภชนาการของมะขามดิบต่อ 100 กรัม

พลังงาน 239 กิโลแคลอรี่ 
คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม 
น้ำตาล 57.4 กรัม 
เส้นใย 5.1 กรัม 
ไขมัน 0.6 กรัม 
โปรตีน 2.8 กรัม 
วิตามินบี1 0.428 มิลลิกรัม 37% 
วิตามินบี2 0.152 มิลลิกรัม 13% 
วิตามินบี3 1.938 มิลลิกรัม 13% 
วิตามินบี5 0.143 มิลลิกรัม 3% 
วิตามินบี6 0.066 มิลลิกรัม 5% 
วิตามินบี9 14 ไมโครกรัม 4% 
โคลีน 8.6 มิลลิกรัม 2% 
วิตามินซี 3.5 มิลลิกรัม 4% 
วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม 1% 
วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม 3% 
ธาตุแคลเซียม 74 มิลลิกรัม 7% 
ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม 22% 
ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม 26% 
ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม 16% 
ธาตุโพแทสเซียม 628 มิลลิกรัม 13% 
ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม 0% 
ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม 1% 

% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่


ปล.หน้าบล็อคนี้สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาคัดลอกแต่อย่างใด

วีดีโอประโยชน์ของมะขามเปียก

ขั้นตอนและวิธีทำ

 ขั้นแรกเตรียม วัสดุ-อุปกรณ์ให้พร้อม

อุปกรณ์

1.กะละมัง




 2.กระชอน


3.ผ้าขาวบาง


4.มีด


5.ช้อน


6.เครื่องปั่น


วัตถุดิบ

1.มะขามเปียก


2.นมสด


3.น้ำเปล่า


4.ว่านหางจระเข้


5.ผงขมิ้น


ขั้นตอนการทำ

1.เอามะขามใส่กะละมัง(เราใช้ครึ่งกิโลกรัม)เทนมสดรสจืดลงไป 2 กล่อง ขยำให้เข้ากัน
2.เทน้ำลงไปครึ่งขวด(ใช้น้ำสิงขวดกลาง 750 ml) กวนให้เข้ากัน
3.แยกเม็ด+กากมะขามออกใส่ไว้อีกกะละมังนึง ใช้มือแยก ไม่ต้องให้เกลี้ยงมาก

4.เทน้ำ(ที่เหลือครึ่งขวด)ลงในเม็ดที่แยกออกมาข้างต้น  เสร็จแล้วก็ขยำๆ

5.หลังจากนั้นใช้ผ้ากรอง กรองเศษเล็กเศษน้อยในน้ำมะขามออกให้หมด

6.นำมีดมาปลอกเปลือกว่านหางจระเข้ออก

7.ใช้ช้อนขูดส่วนเนื้อของว่านหางจระเข้ออกมา
8.นำเนื้อว่านหางจระเข้ไปล้างให้ยางสีเหลืองๆออกให้หมดก่อน ไม่งั้นจะละคายเคืองผิวเอาได้

9.นำเนื้อว่านหางจระเข้ที่ได้ไปปั่นในเครื่องปั่น

10.นำเนื้อมะขามและว่านหางจระเข้มาเทรวมกันในหม้อ

11.ใส่ผงขมิ้นลงไปเล็กน้อย

12.ตั้งไฟปานกลางกวนไปเรื่อยๆจนเนื้อมะขามเหนียว

13.หลังจากเนื้อมะขามเย็นแล้วก็ตักใส่ภาชนะที่มีฝาปิด





Sunday, September 11, 2016

สรรพคุณของขมิ้น

สรรพคุณของขมิ้น



  1. สรรพคุณของขมิ้นข้อแรกคือมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย
  2. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
  3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง
  4. ขมิ้นชันอาจมีบทบาทช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเล็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก
  5. ขมิ้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
  6. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
  7. ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน
  8. มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  9. ช่วยลดอาการของโรคเกาต์
  10. ช่วยขับน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
  11. ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจที่มีอาการผิดปกติ
  12. ช่วยบำรุงสมองป้องกันโรคความจำเสื่อม
  13. อาจมะส่วนช่วยในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)
  14. ช่วยลดการอักเสบ
  15. ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
  16. ช่วยรักษาอาการแพ้และไข้หวัด
  17. ช่วยบรรเทาอาการไอ
  18. ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้หายใจไม่สะดวก ให้มีอาการดีขึ้น
  19. ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
  20. ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี
  21. ช่วยรักษาแผลที่ปาก
  22. ช่วยบำรุงปอดให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
  23. น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
  24. ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อุจจาระร่วง โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนแล้วนำมารับประทานครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา
  25. ช่วยแก้อาการจุดเสียดแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  26. ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ
  27. ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้
  28. ช่วยรักษาอาการลำไส้ใหญ่บวม
  29. ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร
  30. ช่วยในการขับลม
  31. ช่วยบรรเทาอาการนิ่วในถุงน้ำดี
  32. มีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำดี
  33. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้
  34. ช่วยบำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และป้องกันตับจากการถูกทำลายของยาพาราเซตามอล
  35. ช่วยบำรุงหูรูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง
  36. ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
  37. ช่วยแก้อาการตกเลือด ด้วยการนำขมิ้นสดมาตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำปูนใสแล้วรับประทาน
  38. ช่วยแก้อาการตกขาว
  39. ช่วยรักษาอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ
  40. ช่วยแก้อาการน้ำเหลืองเสีย
  41. ช่วยแก้ผื่นคันตามร่างกาย
  42. ช่วยรักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคัน
  43. ช่วยรักษากลาก เกลื้อน ด้วยการใช้ผงขมิ้นผสมกับน้ำ นำมาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง
  44. ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง ตุ่มหนองให้หายเร็วยิ่งขึ้น
  45. ช่วยรักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการนำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำจนละเอียดคั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณดังกล่าว
  46. มีฤทธิ์ในการต่อต้านและฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง และต่อต้านยีสต์ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
  47. ช่วยต่อต้านปรสิต หรือเชื้ออะมีบาที่เป็นต้นเหตุของโรคบิดได้
  48. ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย แบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง เป็นต้น
  49. มีฤทธิ์ในการต่อต้านการกลายพันธุ์ และต้านสารก่อมะเร็งทีมีความเกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย และโรคเบาหวาน
  50. ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนบาดแผล และยังช่วยให้บาดแผลไม่ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวได้ และสามารถเร่งให้แผลที่ติดเชื่อหายได้
  51. ขมิ้นยังมีสรรพคุณช่วยในการป้องกันการงอกของขนอีกด้วย โดยผู้หญิงชาวอินเดียมักนำขมิ้นมาทาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก
  52. ขมิ้นชันขัดผิว ใช้ทำทรีทเม้นท์พอกผิวขัดผิวด้วยขมิ้นช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส เต่งตึง ด้วยการนำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสมกับมะนาว 1 ลูก ปั่นจนเข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าหรือผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  53. ขมิ้นเป็นส่วนประกอบของทรีทเม้นท์รักษาสิวเสี้ยน สิวผด สิวอุดตัน
  54. ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในเครื่องสำอางบำรุงผิวต่าง ๆ
  55. นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย




Carrot